Web
Analytics
AsiaDestinations

พม่าคนเดียว ไปเที่ยวไหนดี

Alone at Myanmar

พม่า ฉายา ฤาษีหลับแห่งเอเชีย… เป็นอีกประเทศหนึ่งเพื่อนบ้านของไทย อยู่ใกล้และน่าสนใจมว๊ากกกกกกกกกกกกกกก เพราะมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวยังคงสวยงาม เหมาะกับการไปเที่ยวคนเดียวได้ สบายๆ…

ทริปนี้เจลเดินทางเริ่มต้นจากเมืองย่างกุ้งค่ะ ตอนนี้สำหรับไปเที่ยว นักท่องเที่ยวทั่วไปที่มาเที่ยวไม่เกิน 14 วัน ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า และต้องมาโดยทางอากาศยานนานาชาติเท่านั้นค่ะ ส่วนใครมาทางบก เช่นทางแม่สาย หรือทางเมืองกาญฯ ยังต้องขอวีซ่าอยู่นะคะ

เจลใช้เวลาเดินทางคนเดียวทั้งสิ้น 7 วันค่ะ เริ่มจากหาสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคร่าวๆก่อนในอินเตอร์เน็ต วางแผนการเดินทาง หาตั๋วเครื่องบิน เตรียมเงินดอลลาห์(แลกเงินที่ร้านซุปเปอร์ริช และไปแลกเงินจ๊าด สกุลเงินพม่าที่สนามบินย่างกุ้ง)

ในย่างกุ้งมีสถานที่ๆน่าสนใจ เริ่มตันจากกลางเมือง คือ City Hall หรือศาลาว่าการอยู่ข้างๆกับเจดีย์สุเลพญา (อารมณ์ประมาณอนุเสารีย์ชัยบ้านเรา) ที่ต้องไปหารถเมล์ต่อที่นั่น

เราสามารถนั่งรถเมล์สาย 43 ข้างๆ City Hall ไปที่เจดีย์ชเวดากองได้ค่ะ ราคาแค่ 200 จ๊าด หรือ 6 บาทเท่านั้น ไม่ไกลจากนั่นเราสามารถไปไชน่าทาวน์ของย่างกุ้งได้ ในช่วงเช้าจะเป็นตลาดสด และช่วงเย็นจะขายอาหารทะเล และ Hangout ค่ะ

 

City Hall เมืองย่างกุ้ง

สถาปัตยกรรมต่างๆที่ถูกแพร่จากอังกฤษ เมื่อครั้งยังเป็นอาณานิคมอยู่ สิ่งปลูกสร้าง อาคาร ตึกยังคงความงดงาม โดยเฉพาะในส่วนของ City Hall นี้ค่ะ ใกล้ๆกันเป็นเจดีย์สุเลพญา และสวนกลางเมือง

 

เจดีย์สุเลพญา ถนนทุกสายมุ่งสู่ที่นี่

ว่ากันว่าเจดีย์สุเลมีนั้นมีอายุกว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของกรุงย่างกุ้ง เมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมานั้นพระเจดีย์ถูกล้อมรอบไปด้วยน้ำ ชื่อของเจดีย์หมายถึง ‘พระวิหารอันเป็นที่ประดิษฐานของพระเกศาธาตุ ซึ่งเชื่อกันว่าภายในมีเส้นพระเกศาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ที่นั่น และหากใครอยากนั่งรถเมล์ในย่างกุ้ง ต้องมาขึ้นที่นี่ อารมณ์เหมือนอนุสาวรีย์ชัยฯบ้านเราค่ะ

 

เจดีย์ชเวดากอง

จากเจดีย์สุเลพญา เราสามารถนั่งรถเมล์ไปยังเจดีย์ชเวดากองได้ ซึ่งขอให้ไปถูกสาย เราจะเจอกับเจดีย์ใหญ่โต สีทองอร่ามกลางเมือง ซึ่งเจดีย์ชเวดากองนั้น เป็นเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง สีทองอร่ามตา ยอดประดับเพชร 76 กระรัต องค์เจดีย์หุ้มทองคำกว่า 1,100 กิโลกรัม ตั้งอยู่บนเนินเขาเสนคุตตะระ(Singuttara Hill) ในความหมายของชื่อนั้น คำว่า “ชเว” แปลว่าทอง ส่วน “ดากอง” หรือ “ตะเกิง” นั้นคือชื่อเดิมของย่างกุ้ง หมายถึงเจดีย์ทองคำแห่งเมืองดากอง สร้างขึ้นเมื่อราว 2,500 กว่าปีก่อนโดยพี่น้องตปุสสะและภัลลิกะเพื่อถวายตนเป็นพุทธมามกะ

ถ้ามีเวลาให้อยู่ที่เจดีย์ชเวดากองถึงตอนกลางคืนนะคะ เปิดแสงไฟกระทบองค์พระ สวยมากๆเลยค่ะ

 

ตลาดเช้าเมืองย่างกุ้ง ที่ไชน่าทาวน์

หากเรายังพักอาศัยในย่างกุ้ง แนะนำให้ตื่นเช้าๆหน่อย ไปเที่ยวย่านไชน่าทาวน์เสียนิด จะมองเห็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของ และผู้คนมากมาย

ในตอนเช้าจะเป็นตลาดสดที่มีทั้งอาหาร วัตถุดิบประกอบอาหาร ทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ ผัก และผู้คนที่หลากหลายมาเดินซื้อของ

ส่วนตอนเย็น จะเป็นส่วนของร้านอาหารประเภทปิ้ง ย่าง อบ และอาหารตามสั่งต่างๆ รวมถึงมีร้านเบียร์ด้วยแหละ

หากต้องการไปไจท์ทิโย หรือพระธาตุอินทร์แขวน ก็สามารถนั่งรถบัสจากสถานีอองมินกะลาไปได้ นั่งรถประมาณ 4-6 ชั่วโมง แวะนอนที่นั่นหนึ่งคืนและขึ้นไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวนได้ค่ะ

 

ไจท์ทิโย หรือพระธาตุอินทร์แขวน

เราสามารถนั่งรถจากอินทร์แขวน ไปต่อที่หงสาวดีหรือที่ชาวพม่าเรียกพะโค(Bago) หรือหากเราไม่ต้องการไปพระธาตุอินทร์แขวน เราสามารถนั่งรถจากย่างกุ้งไปพุกาม(Bagan) ต่อไปเลยค่ะ นั่งรถประมาณ 8-10 ชั่วโมงค่ะ

 

ไจทิโย หรือที่ชาวไทยรู้จักกันในชื่อว่า พระธาตุอินทร์แขวน

ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ และนับเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ

และตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อว่าเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีจอ (ปีหมา) ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต

 

เมืองพุกาม(Bagan)

เจลนั่งรถขึ้นเหนือไปเมืองพุกาม(Bagan) ซึ่งถือได้ว่าเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ของพม่าที่ติดอันดับโลก ไปลงที่สถานีขนส่งใกล้ๆเนียงอู(Nyang U) และสามารถไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อชมทะเลเจดีย์ต่อได้ สำหรับสถานที่นี่เจลว่าสวยงามมากๆเลยค่ะ ต้องไปชม ห้ามพลาดเลย

พุกาม หรือ บากัน

พุกามเคยเป็นอาณาจักรและราชวงศ์แห่งแรกในประวัติศาสตร์ของชาวพม่า มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพุกามในปัจจุบัน เดิมมีชื่อว่า “ผิวคาม” (แปลว่า หมู่บ้านของชาวผิว) เป็นเมืองเล็ก ๆ ริมทิศตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี สภาพส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายแห้งแล้ง เป็นที่อยู่ของชาวผิว ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง ในปี พ.ศ. 1587 พุกามถูกสถาปนาโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ พระองค์ทำสงครามกับชาวมอญที่อยู่ทางใต้ชนะ แล้วจึงสถาปนาชื่ออย่างเป็นทางการของพุกามว่า “ตะริมันตระปุระ” (အရိမဒ္ဒနာပူရ; หมายความว่า เมืองที่ปราบศัตรูราบคาบ) รอบ ๆ เมืองพุกาม มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ “มินดาตุ” ซึ่งเป็นเขตเมืองโบราณ 4 แห่ง ล้อมรอบอยู่ด้วย

พุกาม มีฉายานามว่า “คลื่นแห่งทะเลเจดีย์” หรือ “ดินแดนเจดีย์สี่พันองค์” ที่แม้ปัจจุบันลดลงเกือบครึ่งเหลือเพียงสองพันองค์นิดๆ แต่ก็ยังดูละลานตาอยู่มาก

 

เราชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จ จากนั้นสายๆเราก็เข้าไปในเนียงอู(Nyang U) เป็นอารมณ์เมืองเก่าหรืออำเภอเก่าของที่นั่น เพื่อไปชมตลาดเช้า หาของกิน นั่งกินปาท่องโก๋และชานมแบบพม่า เจลเช่ารถ E-Bike ซึ่งเป็นรถของโรงแรมที่เจลนอนไปที่นั่น และขี่รอบๆเมืองพุกามค่ะ

ตลาดเช้าเนียงอู

บรรยากาศตลาดที่เนียงอู พุกามนั้น จะมีเอกลักษณ์ตรงที่มีขายของเยอะมากกกกกกกกก ทั้งของสด ของแห้ง ของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว สามารถมาเที่ยวต่อรองได้ที่นี่ ทั้งของโบราณ ของมือสอง ของแต่งบ้าน ร้านหนังสือ อาหารสด อาหารแห้ง กุ้ง หอย ปู ปลา หมู ซึ่งอาหารแม่น้ำ เช่น กุ้ง ปลา จะสดและตัวใหญ่มากๆ

 

ปาท่องโก๋ขนาดยักษ์และชานมแบบพม่าที่ตลาดเช้าเนียงอู

ที่พุกาม เราจะพบกับเจดีย์มากมาย และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจดีย์ชเวสิกอง 1 ใน 5 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่าที่ต้องไปสักการะ เจดีย์ฉัตรตั้ง พระอึดอัด และอีกมากมาย

หรือถ้าคุณอยาก Slow-Life สามารถเช่ารถม้าเพื่อชมรอบๆเมืองได้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งค่ะ

 

เจดีย์ชเวสิกอง, เมืองพุกาม

“ชเวซิกอง” แปลว่า “เจดีย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นทราย” เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างโดยพระเจ้าอโรรธามหาราชพระองค์แรก ผู้รวบรวมชนชาติพม่าเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรกในอาณาจักรพุกามเมื่อ 900 ปีเศษมาแล้ว

ภายหลังทรงยกทัพไปตีมอญที่อาณาจักรสุธรรมวดี ได้แล้วทรงกวาดต้อนชาวมอญ ตลอดจนช่างฝีมือ นักปราชญ์ และ ราชบัณฑิตมาที่เมืองพุกาม ทำให้พม่าได้รับอิทธิพงศิลปวัฒนธรรมจากมอญมาโดยไม่รู้ตัว ดังเช่น รูปร่างของเจดีย์ชเวซิกอง ก็มีรูปทรงระฆังคว่ำแบบมอญ ก่อนที่จะมีพุทธศิลป์ สกุลช่างพุกามเกิดขึ้น

 

วิหารสัพพัญญู (Thatpyinnyu)

เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เจดีย์แห่งความรอบรู้ เจดีย์แห่งนี้สูงที่สุดในพุกาม สูงถึง 61 เมตร ถือเป็นแม่แบบของสถาปัตยกรรมแบบพม่า สร้างขึ้นตามศิลปะแบบปาละของอินเดีย โดยกษัตริย์อลองสิตู (King Alongsithu) รูปทรงคล้ายอานันทเจดีย์ แต่แผนผังไม่ได้เป็นรูปกากบาทด้านเท่า

วิหารสัพพัญญูมีทั้งหมด 5 ชั้น เจดีย์ 2 ชั้นแรกเคยเป็นที่พำนักของพระสงฆ์ ชั้น 3 เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ชั้น 4 เป็นหอพระไตรปิฎก ส่วนยอดสถูปเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่เดิมเคยเป็นจุดที่ให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมทะเลเจดีย์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง แต่ภายหลังเกิดรอยร้าว จึงไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปด้านบนอีก

รถม้าเมืองพุกาม

จากนั้นเรานอนที่นั่น 1 คืน ตอนเช้าเราก็หารถไปที่มัณฑะเลย์(Mandalay) นั่งรถประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึงค่ะ ที่นั่นเป็นเมืองใหญ่พอๆกับย่างกุ้งค่ะ มีความเจริญ และถนนหนทางจะเป็นแบบบล็อกๆ เพราะวางผังเมืองโดยเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ มีพระราชวังมัณฑะเลย์ตั้งอยู่กลางเมือง มีตำหนักไม้สักชเวสันดอ ตำหนักไม้จากสมัยที่พม่ายังคงมีกษัตริย์เหลืออยู่แห่งเดียวของพม่า หรือจะแพลนอีกวันตอนเช้าไปไหว้พระมหามัยมุนี ทำพิธีล้างหน้า พอบ่ายๆไปแถวเมืองอมรปุระ ไปชมสะพานอูเบ็ง สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ที่นั่น เจลแนะนำให้มาช่วงเช้ามากๆหรือช่วงเย็นไปเลย เพราะแสงพระอาทิตย์จะสวยมากๆเวลานั้น และถ้าหากข้ามสะพานไป เราจะเจอกับวัดโยเดียหรือวันอยุธยา ที่ว่ากันว่าเป็นสถานที่ๆต้อนเชลยศึกชาวอยุธยามาไว้ที่นั่น สืบวงศ์มาเป็นลูกหลานชาวพม่าค่ะ

 

มัณฑะเลย์(Mandalay)

พระราชวังมัณฑะเลย์

พระราชวังมัณฑะเลย์ (မန္တလေး နန်းတော်) เป็นพระราชวังในประเทศพม่า และเป็นพระราชวังสุดท้ายแห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของพม่า ก่อนที่จะถูกทำลายโดยทหารอังกฤษ ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง

 

ตำหนักไม้สักชเวสันดอ

วิหารที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง อย่างอลังกาลงานสร้าง เป็นวิหารไม้สัก เพียงหลังเดียวของพระเจ้ามินดงที่รอดจากการเผาทําลายในช่วงสงครามโลก

 

พระมหามัยมุนี, เมืองมัณฑะเลย์

เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของพม่า เปรียบได้กับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า

คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า “ผู้รู้อันประเสริฐ” (The Great Sage) ชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี (မဟာမြတ်မုနိ ရုပ်ရှင်တော်မြတ်ကြီး) เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ มีตำนานเล่าว่า สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนัก 6.5 ตัน

ก่อนสร้าง กษัตริย์ผู้สร้างทรงพระสุบินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้ เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระศาสนาไปในภายหน้า โดยในอดีต แม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป

 

สะพานไม้สักอูเบ็ง

สะพานอูเบ็ง (ဦးပိန်တံတား) เป็นสะพานที่ทำจากไม้ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในตอนใต้ของเมืองอมรปุระ ประเทศพม่า สร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระจำนวน 1,208 ต้น เพื่อใช้ทำเป็นเสา สะพานมีอายุกว่า 200 ปี

สะพานอูเบ็ง ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าต่อซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ชื่ออูเบ็งนั้นเป็นชื่อของขุนนางที่มีนามว่า “อูเบียน” พระเจ้าปดุงโปรดฯให้มาทำหน้าที่เป็นแม่กองงานสร้างสะพาน ซึ่งตั้งอยู่ที่อมรปุระก่อนจะเข้าถึงตัวเมืองมัณฑะเลย์

สะพานอูเบ็งตอนพระอาทิตย์ตก

 

วัดมหากันดายงค์

ไม่ไกลจากสะพานไม้อูเบ็ง เราสามารถเข้าไปในที่วิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในพม่าค่ะ ชื่อวัดมหากันดายงค์(แนะนำให้ไปตอนเช้ามากๆ จะมีตักบาตรพระ) จากนั้นก็กลับมาในเมืองมัณฑะเลย์ หากมีเวลาเราสามารถขึ้นมัณฑะเลย์ฮิลล์ชมรอบเมือง หรือใกล้ๆกันจะมีวัดกุโสด่อ เป็นวัดที่พระเจ้ามินดง สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 ใกล้ๆกันเป็นวิหารชเวนันดอร์ พระตำหนักไม้สักที่ยังหลงเหลืออยู่ที่สุดท้าย ก่อนที่จะถูกอังกฤษเผาพระราชวังมัณฑะเลย์ไป

จากนั้นเจลก็หารถช่วงบ่ายไปเที่ยวต่อที่เมืองพินอูลวิน หรือชาวพม่าเรียกกันว่าเมืองเมเมียว เป็นเมืองตากอากาศของชาวพม่า และขุนนางกับทหารชั้นสูงชาวอังกฤษในสมัยก่อน

 

เมืองพินอูลวิน

เมืองพินอูลวิน หรือ เมเมียว(แปลว่า เมืองของนายพลเม) .. เมืองโรแมนติคมาก… กำลังงงว่านี่อยู่ประเทศไหนกันแน่ อังกฤษ อินเดีย หรือ พม่า โอ๊ยงง 55+

เมืองนี้เหมือนอยู่อินเดียอ่ะ โดนแซว โดนผู้ชายพูด เฮลโหล ตลอดทางงงง มีผู้ชายมานั่งคุยด้วยเว้ย งงมาก แต่ก็มิได้นำพา น้องไม่ชอบ เลือกได้อ่ะ 55+ .. กลับมาที่เมืองนี้ คือมันเป็นเมืองที่แบบเหมือนอินเดีย มีวัวเดินไปมา ผู้คนหน้าตาค่อนไปทางอินเดีเนปาลไรกันมาก คือซ้อมไว้แล้วกัน เผื่อได้ไปอินเดียจริงๆ 5555… ส่วนบ้านเรือน แค่มาเดินชมบ้านชมตึกที่นี่ก็หมดเวลาไปวันนึงแล้วอ่ะ มันสวย มันโคโลเนียล มันอังกฤษ จิบน้ำชายามบ่าย น้องชอบสไตล์นี้มากกกกก

สำหรับเมืองนี้ คือ เมืองนี้ถูกสร้างให้เป็นเมืองสำหรับทหาร เมื่อครั้งนายพันเอกเม ได้สร้างพินอูลวินเป็นเมืองป้อมปราการ และเป็นฐานบัญชาการจ้างทหารอินเดียกับเนปาลรับจ้างสู้รบ ตลอดจนตั้งรกรากเป็นเมืองพักตากอากาศ หนีร้อนมาจากมัณฑะเลย์ตั้งแต่สมัยพม่าตกเป็นเมืองอาณานิคมของอังกฤษเมื่อประมาณปี 2439…

สำหรับคนพม่าแล้วนั้น คนที่เรียน เก่งสุดจะได้สิทธิ์เข้าเรียนแพทย์ก่อนทันที รองลงมาคือ วิศวะ และทหาร แต่คนที่สอบเข้าเรียนวิชาการทหารต้องเข้าสอบ คัดเลือกเหมือนเอ็นทรานซ์ หากเรียนแล้วได้คะแนนสูงตั้งแต่ 80% ขึ้นไปจะถูกส่งไปเรียนวิชาทหารต่อที่ประเทศรัสเซีย

จึงไม่ผิดหรอกตามคำบอกเล่าที่ว่า นายทหารชั้นยศใหญ่โตระดับผู้บัญชาการ หรือผู้นำประเทศของเมียนมา ก็ล้วนจบการศึกษาจากโรงเรียนประจำในเมืองนี้ทั้งสิ้น

สรุปคือ ถ้าอยากได้สามีเป็นทหารพม่าก็มาที่เมืองนี้กันนะจ๊ะ นี่ก็เกือบได้แล้ว 555555+

 

เมืองนี้มีความน่าสนใจคือ จะมีอากาศเย็นๆสบายๆตลอดทั้งปีค่ะ มีบ้านเรือนที่เป็นแบบอังกฤษ สไตล์โคโลเนียลอยู่เยอะมากๆ สวยงามมากๆ เดินเพลินเลยค่ะ อีกทั้งยังมีรถม้าที่ต่างจากรถม้าเมืองอื่นๆคือเป็นรถม้าแบบในเทพนิยายคือ มีหลังคาคลุมหลัง น่ารักมากๆ ไม่ไกลจากในเมือง เจลปั่นจักรยานไปที่สวนกันดอจีของเมืองนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ มีสวนดอกไม้ ร่มรื่น ข้างๆกันเป็น National Landmark Garden เป็นสวนที่เหมือนเมืองจำลองสถานที่ๆต่างที่เป็น Landmark ของพม่าเอาไว้ น่าสนใจมากๆค่ะ สามารถเดินไปดูได้ทั่วเลยค่ะ

สวนสาธารณะเมืองพินอูลวิน

 

บ่ายๆเจลแวะไปเมืองจำลองของพม่า เมืองพินอูลวิน ซึ่งเป็นสถานที่ๆรวบรวมสถานที่สำคัญของพม่าเอาไว้ทั้งหมด อารมณ์คล้ายๆเมืองจำลอง ที่พัทยาบ้านเราเลยค่ะ แต่ถ้าไปช่วงหน้าหนาว คือมันดีมากๆเลย อากาศเย็นสบาย

National Landmark Garden

 

เรานอนที่นั่นกันอีก 1 คืนตอนเช้าเจลไปนั่งรถไฟสาย พินอูลวิน – ล่าเสี้ยว แต่ไปหยุดที่สถานที่นังเป็ง(Nang Peng) ค่ะ  ไปดูสะพานก๊กเต็ก เพื่อไปดูสะพานรถไฟที่สร้างจากไม้ที่สูงที่สุดในอาเซียนกัน และสูงเป็นอันดับสองของโลก อยู่ในรัฐฉาน วิวสวย อากาศดี เย็นสบายมากกกก ระหว่างทางเราจะพบกับทุ่งนา และบ้านเรือนแบบชนบทของชาวพม่า อีกทั้งวีถีชีวิตของคนพม่าแบบเรียลๆ ทั้งบรรยากาศในรถไฟ อากาศดีๆเย็นสบายตลอดการนั่งรถไฟเลยค่ะ

การนั่งรถไฟจะกินเวลาค่อนข้างมากคือใช้เวลาไปกลับทั้งวัน เพราะต้องเข้าไปในรัฐฉาน แต่เจลว่ามันคุ้มมากๆเพราะเราจะได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่ตลอดทาง ทั้งผู้คน และวิถีชีวิตของชาวพม่าแบบน่ารักๆค่ะ ใครมีเวลาสามารถลงที่เมืองสีป่อ รัฐฉานต่อไปได้ค่ะ

จากนั้นเรานั่งรถจากพินอูลวินกลับมาย่างกุ้งอีกรอบ หากใครมีเวลามากกว่านี้ สามารถแวะที่เมืองอินเลได้ค่ะ

 

ที่ย่างกุ้ง ยังมีสถานที่ๆน่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น ตลาดโบจ๊อกอองซาน ซึ่งเป็นสถานที่ขายสินค้าพื้นเมืองของชาวย่างกุ้ง หรือมีเวลาว่างมากๆจะไปนั่งรถไฟสาย Circle รอบๆเมืองย่างกุ้ง ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง แวะไปที่สวนสาธารณะกันดอจีของย่างกุ้ง ชมสวนและรับประทานอาหารที่ภัตตาคารการะเวก ไหว้พระที่พระนอนตาหวาน หรือไหว้พระพุทธรูปหินอ่อนปางมารวิชัยที่วัดงาทัตจี

 

สถานีรถไฟย่างกุ้ง

นั่งรถไฟรอบเมืองย่างกุ้งที่สถานีรถไฟย่างกุ้ง เราสามารถนั่งรถไฟประมาณ 3-4 ชั่วโมงเที่ยวรอบเมืองย่างกุ้ง ได้ในราคา 200 จ๊าดหรือประมาณ 6 บาท

ตลอดการเดินทาง เราสามารถเห็นวิว สถานที่ ผู้คน วิถึชีวิตต่างๆที่แปลกตาในรอบเมืองย่างกุ้งได้ โดยรถไฟจะออกตอนเช้า 9 โมงครึ่ง และ 10 โมงครึ่ง ของทุกวัน แต่แนะนำให้คนที่ค่อนข้างมีเวลาหน่อยนะคะ ไม่งั้นจะเสียเวลานานกับที่นี่มากๆเลย

สวนสาธารณะกันดอจี กลางเมืองย่างกุ้ง

 

พระนอนตาหวาน ที่วัดเจาทัตจี เมืองย่างกุ้ง

เป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดของพม่า มีความยาว 65 เมตร นอนตะแคงขวา และถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามที่สุดในพม่า พระพักตร์ได้รูป ทาสีขาว ขนตางอนยาว ดวงตาเป็นแก้ว เปลือกตาสีฟ้า แต้มสีแดงที่พระโอษฐ์ จีวรพริ้วไหวราวกับของจริง จึงได้ชื่อว่าพระตาหวาน

 

พระพุทธรูปหินอ่อน ปางมารวิชัย สวมเครื่องประดับโลหะที่วัดหงาทัตจี

“พระพุทธรูปทรงเครื่ององค์ใหญ่ที่สุดในโลก” ตั้งอยู่บนเนินเล็กๆด้านทิศตะวันออกของเมือง สูงเท่าตึก 5 ชั้น ทรงเครื่องกษัตริย์อย่างสง่างาม มีต้นแบบมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยยะตะนะโบง (สมัยมัณฑะเลย์) ข้างหลังองค์พระก็เป็นไม้สักแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆมากมาย อันบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้เมืองพม่า

 

ท้ายสุดเราไปขอพรกับเทพทันใจ ซึ่งเป็นนัตหรือวิญญาณที่ชาวพม่านับถือมากๆ ว่ากันว่าถ้ามาขอพรจะได้สมความทันใจในเร็ววัน และไปกระซิบขอพรกับเจ้าแม่กระซิบที่อยู่ใกล้ๆกันในวัดโบตะทาวน์ เมืองย่างกุ้งค่ะ

เทพทันใจ ที่เจดีย์โบตะทาวน์ เมืองย่างกุ้ง

โบโบยีนัต (เทพทันใจ) เป็นเทพที่คอยพิทักษ์ปกป้องมหาเจดีย์ชเวดากอง ชาวพม่าเชื่อกันว่าเทพทันใจ อธิษฐานอะไรมักจะสัมฤทธิ์ผล โดยวิธีการสักการะรูปปั้นเทพทันใจ (นัตโบโบจี) เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมตามความปราถนานั้น  ก็ให้เอาดอกไม้ ผลไม้(มีขายอยู่ด้านหน้า) โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆมาสักการะเทพทันใจจะชอบมาก ผูกผ้าสีที่องค์ท่าน จากนั้นก็ให้เอาเงินจะเป็นดอลล่า บาท หรือจ๊าด ก็ได้ แล้วเอาไปใส่มือของเทพทันใจสัก 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึงกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้

จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของเทพทันใจ อธิษฐานขอสิ่งใดไว้ ท่านก็จะให้สัมฤทธิ์ผลดังหวัง

 

เทพกระซิบ ที่เจดีย์โบตะทาวน์ เมืองย่างกุ้ง

ตามตำนานกล่าวว่า นางเป็นธิดาของพญานาค ที่เกิดศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีล ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์จนเมื่อสิ้นชีวิตไปกลายเป็นนัต ซึ่งชาวพม่าเคารพกราบไหว้กันมานานแล้ว

โดยการบูชาเทพกระซิบนั้น ทำได้ด้วยการบูชาน้ำนม ข้าวตอก ดอกไม้ และผลไม้ และไปกระซิบขอพรข้างหูท่านโดยห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาด

 

————————–

สำหรับใครที่เคยไปมาแล้ว อยากแบ่งปันประสบการณ์ สามารถมาพูดคุย หรือสอบถามกันได้นะคะ

Ads

jelliline

มนุษย์ผิวแทนที่ชอบแต่งหน้า ถ่ายรูป หลงใหลในเทคโนโลยี สนใจในวัฒนธรรม ชอบเที่ยวไปในโลกกว้าง และเป็นสายกินสุดๆ.....

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published.

Back to top button